Browse By

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ 2 – นาโปลี 0 ฟุตบอลยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

เกมระหว่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กับ นาโปลี ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบน็อกเอาต์ กลายเป็นหนึ่งในแมตช์ที่แฟนบอลทั่วโลกจับตามอง เพราะทั้งสองทีมต่างมีสไตล์การเล่นที่โดดเด่นและเป็นตัวแทนของลีกที่มีเอกลักษณ์แตกต่างกัน ซิตี้คือแชมป์เก่าที่มีความแข็งแกร่งรอบด้าน ขณะที่นาโปลีคือแชมป์กัลโช่ เซเรียอาที่เต็มไปด้วยความดุดันและเกมรุกที่จัดจ้าน ผลการแข่งขันที่ออกมาด้วยสกอร์ 2-0 เป็นการยืนยันอีกครั้งว่า ซิตี้ยังคงเป็นทีมที่เหนือกว่าในแง่ของความเด็ดขาด การครองเกม และคุณภาพในรายละเอียด เกมนี้ไม่เพียงแต่เป็นชัยชนะในสนาม แต่ยังเป็นการส่งสารถึงทีมอื่น ๆ ในยุโรปว่าการจะล้มซิตี้ไม่ใช่เรื่องง่าย 2. การวางแท็กติกของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เลือกใช้ระบบการเล่นที่เน้นการครองบอลและการบีบพื้นที่สูงตามสไตล์ถนัด เขาส่งผู้เล่นชุดเกือบเต็มกำลัง โดยมีเออร์ลิง ฮาแลนด์ยืนเป็นศูนย์หน้าตัวเป้า ขนาบข้างด้วยปีกที่มีความเร็วและการเคลื่อนที่อันชาญฉลาดอย่างฟิล โฟเด้นและแจ็ค กรีลิช แดนกลางนำโดยเควิน เดอ บรอยน์ และโรดรี ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมจังหวะเกม การบีบสูงและการครองบอลในพื้นที่กลางสนามทำให้นาโปลีแทบไม่มีโอกาสตั้งเกมตามแบบที่ถนัด ซิตี้สามารถตัดการเชื่อมต่อระหว่างคู่กองกลางของนาโปลีกับศูนย์หน้าได้อย่างสมบูรณ์ เกมรับที่เหนียวแน่นผสมผสานกับการโจมตีที่ต่อเนื่องคือกุญแจสำคัญสู่ชัยชนะในค่ำคืนนี้ 3.

เซรู กีราสซี่ ตกเป็นเป้าหมายเสริมแนวรุกของ บาร์เซโลน่า

ชื่อของ เซรู กีราสซี่ (Serhou Guirassy) กลายเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวางในวงการฟุตบอลยุโรปตลอดสองฤดูกาลที่ผ่านมา หลังจากโชว์ฟอร์มยิงประตูได้อย่างร้อนแรงกับสตุ๊ตการ์ทในบุนเดสลีกา ก่อนจะย้ายมาร่วมทัพ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ในช่วงซัมเมอร์ล่าสุด การเริ่มต้นกับทีมเสือเหลืองถือว่าน่าประทับใจ เขาใช้ความแข็งแกร่งทางร่างกาย ผสมผสานกับการหาพื้นที่อันชาญฉลาด และการจบสกอร์ที่เฉียบขาด จนทำให้เขากลายเป็นหัวใจในแนวรุกของดอร์ทมุนด์ทันที กีราสซี่เป็นกองหน้าที่มีคุณสมบัติครบเครื่อง ทั้งการเล่นลูกกลางอากาศ การพักบอลเพื่อเชื่อมเกม และการสร้างความกดดันให้แนวรับคู่แข่ง เขาไม่ใช่กองหน้าที่พึ่งพาความเร็วหรือทักษะการเลี้ยงเพียงอย่างเดียว แต่เป็นกองหน้าที่ใช้พละกำลังและการอ่านเกมเพื่อสร้างโอกาสให้ตนเองและทีมได้อย่างต่อเนื่อง จุดนี้เองที่ทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่สโมสรใหญ่หลายแห่งในยุโรปจับตามอง 2. บาร์เซโลน่ากับโจทย์ใหญ่เรื่องกองหน้า บาร์เซโลน่าในปัจจุบันกำลังเผชิญโจทย์สำคัญในแนวรุก แม้ว่าจะมีโรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ คอยล่าตาข่าย แต่ด้วยอายุที่มากขึ้น ประสิทธิภาพและความฟิตตลอดฤดูกาลเริ่มเป็นเครื่องหมายคำถาม สโมสรจึงมองหาตัวแทนหรือกำลังเสริมเพื่อแบ่งเบาภาระของกองหน้าชาวโปแลนด์ การดึงตัวกีราสซี่เข้ามาถือเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผล เขาอายุเพียง 28 ปี อยู่ในช่วงพีคของอาชีพค้าแข้ง และสามารถเล่นได้ทั้งกองหน้าตัวเป้าแบบดั้งเดิม รวมถึงการเป็นกองหน้าที่เชื่อมเกมได้ หากบาร์ซ่าสามารถคว้าตัวมาได้ ก็จะเพิ่มความหลากหลายในแนวรุก และช่วยให้ทีมมีมิติใหม่ในการเข้าทำ สำหรับสโมสรยักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง บาร์เซโลน่า การมีผู้เล่นในตำแหน่งกองหน้าที่สามารถยิงประตูได้อย่างต่อเนื่องคือสิ่งจำเป็น

นอยเออร์ ขึ้นแท่นคว้าชัยแชมเปี้ยนส์ลีก 100 เกม คนที่ 4

การก้าวขึ้นไปสู่จุดสูงสุดในวงการฟุตบอลไม่ใช่เรื่องง่าย และสำหรับ มานูเอล นอยเออร์ ชายผู้ที่ถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในผู้รักษาประตูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล การคว้าชัยในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกครบ 100 เกมคือหลักไมล์สำคัญที่บ่งบอกถึงความคงเส้นคงวาและมาตรฐานระดับสูงที่เขารักษาไว้ได้อย่างต่อเนื่องตลอดกว่าทศวรรษในเวทียุโรป นอยเออร์ไม่เพียงเป็นนายทวารที่ทำหน้าที่ป้องกันประตู แต่ยังเป็นผู้นำทั้งในและนอกสนาม เขามีอิทธิพลต่อวิธีการเล่นของทีมมาตั้งแต่สมัยที่ยังค้าแข้งกับ ชาลเก้ 04 จนกระทั่งย้ายสู่ บาเยิร์น มิวนิค ที่เขาสร้างความยิ่งใหญ่จนกลายเป็นไอคอนของสโมสร ความมุ่งมั่นและมาตรฐานระดับโลกทำให้เขาคือเสาหลักของทีม และสถิติ 100 เกมชนะในแชมเปี้ยนส์ลีกคือตราประทับแห่งความสำเร็จที่ไม่ใช่ใครก็ทำได้ 2. ก้าวแรกสู่เวทียุโรป: จากชาลเก้สู่บาเยิร์น เส้นทางของนอยเออร์ในเวทียุโรปเริ่มต้นกับ ชาลเก้ 04 ทีมบ้านเกิดที่เขาฝึกฝนและพัฒนาเป็นมือกาวระดับแถวหน้า การโชว์ฟอร์มสุดเหนียวในแชมเปี้ยนส์ลีกกับชาลเก้ทำให้ชื่อของเขาโด่งดังไปทั่วยุโรป โดยเฉพาะในปี 2011 ที่เขาพาทีมทะลุไปถึงรอบรองชนะเลิศ และแม้สุดท้ายจะพ่ายให้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ผลงานที่โดดเด่นก็เพียงพอให้บาเยิร์น มิวนิคคว้าตัวเขาไปร่วมทีม การย้ายมาอยู่กับบาเยิร์นคือการก้าวเข้าสู่เวทีที่ใหญ่กว่า นอยเออร์กลายเป็นหัวใจของแนวรับทีมเสือใต้ที่เต็มไปด้วยซูเปอร์สตาร์ และเป็นจุดเริ่มต้นของการไล่ล่าความสำเร็จในระดับยุโรปอย่างต่อเนื่อง ยุคชาลเก้: จุดเริ่มต้นแห่งชื่อเสียง นอยเออร์แจ้งเกิดอย่างแท้จริงในฤดูกาล 2007/08 เมื่อเขาพาชาลเก้เข้าสู่รอบ

ดาโกนาม ยก บาร์เซโลน่า หนึ่งในทีมดีสุดของโลก

เสียงสะท้อนจากดาโกนา: ทำไม บาร์เซโลน่า คือทีมที่ยิ่งใหญ่ เมื่อผู้จัดการทีม ดาโกนา ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับโลกฟุตบอล คำกล่าวของเขาที่ว่า “บาร์เซโลน่าเป็นหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดของโลก” กลายเป็นหัวข้อใหญ่ในสื่อกีฬา คำพูดนี้ไม่เพียงเป็นการยกย่องสโมสรแห่งกาตาลุญญา แต่ยังสะท้อนความจริงทางประวัติศาสตร์และความสำเร็จที่บาร์ซ่าได้สร้างไว้ตลอดหลายทศวรรษ สิ่งที่ทำให้คำพูดของดาโกนามีน้ำหนักคือมุมมองจากคนนอก สโมสรที่เขายกย่องไม่ได้เป็นเพียงคู่แข่ง แต่คือแรงบันดาลใจที่ทำให้เห็นถึงมาตรฐานสูงสุดในวงการฟุตบอล ดาโกนามองว่าบาร์เซโลน่าไม่ใช่ทีมที่วัดความสำเร็จแค่ถ้วยรางวัล แต่ยังรวมถึงอัตลักษณ์ รูปแบบการเล่น และพลังของแฟนบอลที่สนับสนุนอย่างเหนียวแน่น 2. ประวัติศาสตร์แห่งความสำเร็จของบาร์เซโลน่า บาร์เซโลน่าไม่เพียงถูกจดจำในฐานะสโมสรฟุตบอล แต่ยังเป็นสถาบันที่สร้างความเปลี่ยนแปลงต่อวงการกีฬา สโมสรแห่งนี้คว้าแชมป์ลาลีกามากกว่า 25 สมัย, โกปาเดลเรย์อีกหลายสิบครั้ง และแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกที่ทำให้พวกเขาก้าวขึ้นเป็นจุดสูงสุดของยุโรป ในช่วงปีทองที่นำโดย เป๊ป กวาร์ดิโอล่า บาร์เซโลน่ากลายเป็นทีมที่ทุกคนต้องยอมรับ ทั้งความสวยงามของ “ติกิ-ตาก้า” และการผสมผสานผู้เล่นจากลามาเซียที่ก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลัก สโมสรไม่เพียงคว้าความสำเร็จ แต่ยังสร้างรูปแบบการเล่นที่เป็นสัญลักษณ์ให้กับวงการฟุตบอลยุคใหม่ ซึ่งเหตุผลเหล่านี้ทำให้ดาโกนายกย่องบาร์ซ่าอย่างไม่ลังเล 3. ตำนานผู้เล่น: เสาหลักแห่งความยิ่งใหญ่ หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้บาร์เซโลน่าถูกมองว่าเป็นทีมที่ดีที่สุดของโลกคือการมีนักเตะระดับตำนานมากมาย ไล่ตั้งแต่

ความสัมพันธ์ระหว่าง แอธเลติก บิลเบา กับ บาร์เซโลน่า ที่เย็นชา

ความสัมพันธ์ระหว่าง แอธเลติก บิลเบา และ บาร์เซโลน่า ถือเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ลูกหนังสเปนที่เต็มไปด้วยเรื่องราวที่ซับซ้อน สองสโมสรนี้ต่างมีเอกลักษณ์และรากฐานวัฒนธรรมที่แข็งแกร่ง บิลเบาเป็นตัวแทนแห่งแคว้นบาสก์ที่ยึดมั่นในปรัชญาการใช้ผู้เล่นท้องถิ่น ส่วนบาร์เซโลน่าเป็นสัญลักษณ์ของแคว้นกาตาลุญญาที่ผูกพันกับการต่อสู้เพื่ออัตลักษณ์และอิสรภาพ สิ่งเหล่านี้ทำให้ทั้งสองสโมสรไม่ใช่แค่คู่แข่งในสนาม แต่ยังเป็นตัวแทนของความภาคภูมิใจระดับภูมิภาค ในอดีต บาร์เซโลน่ามักจะมองนักเตะจากบิลเบาเป็นเป้าหมายการเสริมทัพอยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากนักเตะบาสก์มีความแข็งแกร่ง วินัย และทัศนคติที่ดีต่อเกมฟุตบอล การดึงตัวนักเตะเช่น อันโดนี่ โซบิซาร์เรต้า และ เปเป้ เรน่า เคยสร้างความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างทั้งสองสโมสร ทว่าความสมดุลนี้ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนไปเมื่อบิลเบายึดมั่นในอัตลักษณ์การสร้างผู้เล่นของตนเองและไม่ต้องการถูกทีมใหญ่เข้ามาฉกพรสวรรค์ง่าย ๆ อีกต่อไป 2. การผงาดขึ้นมาของ นีโก้ วิลเลียมส์ ชื่อของ นีโก้ วิลเลียมส์ กลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ เขาคือหนึ่งในผลผลิตที่ดีที่สุดของอะคาเดมีบิลเบาในรอบทศวรรษ ความเร็ว ทักษะการเลี้ยงบอล และความสามารถในการตัดสินใจในจังหวะสำคัญ ทำให้เขาถูกจับตามองจากบรรดายักษ์ใหญ่ในยุโรปตั้งแต่อายุยังน้อย บาร์เซโลน่าซึ่งกำลังอยู่ในยุคแห่งการปรับโครงสร้างทีมหลังการจากไปของลิโอเนล เมสซี เห็นว่านีโก้คือนักเตะที่สามารถเข้ามาเติมเต็มเกมรุกริมเส้นได้อย่างลงตัว การเจรจาเบื้องต้นเริ่มต้นขึ้น

การ์นาโช่ มองเชลซีได้บทเรียนจากมิวนิค

อเลฮานโดร การ์นาโช่ ปีกดาวรุ่งทีมชาติอาร์เจนตินาและแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นหนึ่งในนักเตะที่แฟนบอลยุโรปจับตามองมากที่สุดในปัจจุบัน เขาไม่ได้มีเพียงความเร็วและทักษะการเลี้ยงบอลอันเฉียบคม แต่ยังมีความมั่นใจและบุคลิกที่ชัดเจนในฐานะผู้เล่นรุ่นใหม่ที่พร้อมแสดงความเห็นต่อประเด็นใหญ่ ๆ ของวงการฟุตบอล หลังจากเกมที่เชลซีบุกไปพ่ายบาเยิร์น มิวนิคอย่างเละเทะในถ้วยยุโรป การ์นาโช่ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าผลการแข่งขันครั้งนี้คือ “บทเรียนสำคัญ” ที่ทีมจากอังกฤษต้องเรียนรู้ แม้เขาจะเป็นนักเตะของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่การแสดงทัศนะต่อคู่แข่งในลีกเดียวกันสะท้อนถึงความมั่นใจและวิสัยทัศน์ที่มองไปไกลกว่าแค่ทีมของตนเอง การที่ดาวรุ่งวัยเพียง 19 ปีออกมาพูดถึงเชลซีด้วยมุมมองเชิงสร้างสรรค์ ไม่ใช่การเยาะเย้ยหรือเสียดสี ทำให้หลายฝ่ายมองว่าเขามีความเป็นผู้นำในอนาคต การมองว่าคู่แข่งสามารถนำบทเรียนจากความพ่ายแพ้ไปพัฒนาตัวเอง เป็นสัญญาณว่าเขามองฟุตบอลในมิติที่กว้างกว่านักเตะทั่วไป 2. บทเรียนจากความพ่ายแพ้ในมิวนิค เกมที่มิวนิคกลายเป็นรอยแผลใหญ่ของเชลซี เมื่อพวกเขาถูกบาเยิร์นถล่มอย่างหมดรูป ไม่ว่าจะเป็นเกมรุกที่ไร้ความคม เกมรับที่เปราะบาง และการขาดความกระตือรือร้นในแดนกลาง สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าทีมยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน บทเรียนสำคัญจากความพ่ายแพ้คือ “การรักษามาตรฐานการเล่นในเกมใหญ่” เชลซีต้องยอมรับว่าพวกเขายังไม่สามารถต่อกรกับสโมสรชั้นนำของยุโรปได้ในตอนนี้ แต่การแพ้ในลักษณะนี้จะช่วยเปิดตาให้นักเตะและทีมงานเห็นช่องโหว่ที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนแท็กติกที่ยังไม่ลงตัว หรือความไม่สม่ำเสมอของนักเตะดาวรุ่งที่เพิ่งถูกดันขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่ การ์นาโช่ชี้ว่า ความพ่ายแพ้เช่นนี้ไม่ควรถูกมองเป็นหายนะ หากแต่ต้องถูกมองว่าเป็นแรงผลักดัน เหมือนกับทีมใหญ่ ๆ หลายสโมสรที่เคยผ่านจุดต่ำสุด ก่อนกลับมาแข็งแกร่งและประสบความสำเร็จในเวลาต่อมา

หงส์แดง ลิเวอร์พูล: ศรัทธาแห่งแอนฟิลด์ และการเดินทางสู่ความยิ่งใหญ่

เมื่อพูดถึงฟุตบอลอังกฤษและวงการลูกหนังโลก หนึ่งในชื่อที่ไม่อาจมองข้ามได้คือ ลิเวอร์พูล (Liverpool FC) หรือที่แฟนบอลขนานนามว่า “หงส์แดง” (The Reds) สโมสรที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ ความสำเร็จ และแฟนบอลที่เหนียวแน่นที่สุดทีมหนึ่งของโลก สโมสรแห่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงทีมฟุตบอล แต่คือวัฒนธรรม ศรัทธา และอัตลักษณ์ที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น จุดกำเนิดของหงส์แดง ลิเวอร์พูลถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ. 1892 หลังจากเกิดความขัดแย้งเรื่องค่าเช่าสนามแอนฟิลด์ระหว่างเอฟเวอร์ตันกับเจ้าของสนามอย่าง จอห์น โฮลดิง ส่งผลให้เอฟเวอร์ตันย้ายออกไป และโฮลดิงตัดสินใจก่อตั้งสโมสรใหม่ในชื่อ “Liverpool FC” เพื่อใช้สนามแห่งนี้เป็นบ้านอย่างถาวร นับแต่นั้นเป็นต้นมา หงส์แดงก็ได้กลายเป็นหนึ่งในสโมสรที่สร้างประวัติศาสตร์ยิ่งใหญ่ที่สุดในเกาะอังกฤษ แอนฟิลด์: บ้านแห่งศรัทธา สนาม แอนฟิลด์ (Anfield) คือหัวใจของหงส์แดง และเป็นหนึ่งในสนามที่มีมนต์ขลังมากที่สุดในโลก แฟนบอลกว่า 54,000 คนพร้อมใจกันสร้างบรรยากาศที่กดดันคู่แข่ง โดยเฉพาะอัฒจันทร์ The Kop ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของพลังศรัทธา เพลง

No Thumbnail

แอนฟิลด์: บ้านแห่งศรัทธาของหงส์แดงและเวทีประวัติศาสตร์ลูกหนัง

มีสนามมากมายที่ถูกยกย่องให้เป็นสถานที่ของเกมลูกหนัง แต่มีไม่กี่แห่งที่สามารถสร้างเอกลักษณ์และบรรยากาศที่ยิ่งใหญ่ได้อย่าง “แอนฟิลด์” (Anfield) บ้านของสโมสรลิเวอร์พูล สนามแห่งนี้ไม่เพียงเป็นสถานที่จัดการแข่งขันฟุตบอล แต่ยังเป็น สัญลักษณ์ของศรัทธา วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ ที่ถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่น จุดกำเนิดของแอนฟิลด์ สนามแอนฟิลด์ถูกสร้างขึ้นในปี 1884 เดิมทีถูกใช้เป็นสนามเหย้าของเอฟเวอร์ตัน ก่อนที่สโมสรจะเกิดความขัดแย้งกับเจ้าของสนาม ทำให้เอฟเวอร์ตันย้ายไปกูดิสันพาร์กในปี 1892 หลังจากนั้น จอห์น โฮลดิง ได้ก่อตั้งสโมสรใหม่ขึ้นมาในชื่อ ลิเวอร์พูล เอฟซี และแอนฟิลด์ก็กลายเป็นบ้านของหงส์แดงตั้งแต่นั้น นี่คือจุดเริ่มต้นของหนึ่งในตำนานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในวงการฟุตบอลโลก สถาปัตยกรรมและการพัฒนา แอนฟิลด์เป็นสนามที่มีการปรับปรุงหลายครั้งเพื่อรองรับแฟนบอลที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุกการเปลี่ยนแปลงล้วนยังคงรักษาเอกลักษณ์และความเป็นบ้านของลิเวอร์พูลเอาไว้ You’ll Never Walk Alone: บทเพลงแห่งศรัทธา ไม่มีสิ่งใดสะท้อนความยิ่งใหญ่ของแอนฟิลด์ได้ดีไปกว่าเสียงเพลง “You’ll Never Walk Alone” ที่ดังก้องก่อนเริ่มเกม แฟนบอลทุกคนจะร่วมกันขับร้องจนทั่วทั้งสนามกลายเป็นหนึ่งเดียว เพลงนี้ไม่ใช่แค่บทเพลง แต่คือปรัชญาของลิเวอร์พูล คือการบอกว่าทุกคนที่ก้าวเข้าสู่แอนฟิลด์จะไม่มีวันเดินเพียงลำพัง บรรยากาศที่คู่แข่งต้องเกรงขาม

ลิเวอร์พูล: หงส์แดงแห่งแอนฟิลด์ ตำนาน ความศรัทธา

“ทีมแห่งตำนาน” ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์อันเข้มข้น ความสำเร็จ และแฟนบอลที่เหนียวแน่น หนึ่งในนั้นคือ ลิเวอร์พูล (Liverpool FC) หรือที่แฟนบอลทั่วโลกรู้จักกันดีในฉายา “หงส์แดง” (The Reds) สโมสรจากแอนฟิลด์ที่ไม่เพียงเป็นหนึ่งในทีมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของอังกฤษ แต่ยังเป็นสัญลักษณ์แห่งวัฒนธรรม ศรัทธา และความรักในเกมลูกหนังที่ไม่เคยเสื่อมคลาย จุดกำเนิดของหงส์แดง สโมสรลิเวอร์พูลก่อตั้งขึ้นในปี 1892 หลังจากเกิดความขัดแย้งระหว่างประธานสโมสรเอฟเวอร์ตันกับเจ้าของสนามแอนฟิลด์ ส่งผลให้เอฟเวอร์ตันย้ายออก และ จอห์น โฮลดิง จึงก่อตั้งสโมสรใหม่ขึ้นมาในชื่อ “Liverpool FC” จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ลิเวอร์พูลก้าวขึ้นมาเป็นสโมสรที่ครองความยิ่งใหญ่ในอังกฤษและเวทียุโรปอย่างสง่างาม สนามแอนฟิลด์: บ้านแห่งศรัทธา แอนฟิลด์ (Anfield) คือสนามเหย้าของลิเวอร์พูลที่มีความจุราว 54,000 ที่นั่ง แต่สิ่งที่ทำให้ที่นี่แตกต่างจากสนามอื่นคือบรรยากาศที่แฟนบอลสร้างขึ้น โดยเฉพาะอัฒจันทร์ The Kop ที่ขึ้นชื่อเรื่องการเชียร์ที่ดังกึกก้องและเต็มไปด้วยพลัง เพลง “You’ll Never

เซลติก: ตำนานลูกหนังแห่งสกอตแลนด์กับความศรัทธาที่ไม่เคยเลือน

สโมสรยักษ์ใหญ่จากอังกฤษ อิตาลี สเปน หรือเยอรมนี มีหนึ่งทีมจากสกอตแลนด์ที่ยังคงถูกจดจำในฐานะสโมสรแห่งประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม นั่นคือ เซลติก (Celtic FC) ทีมดังจากเมืองกลาสโกว์ที่มีชื่อเสียงทั้งในและนอกสนาม เซลติกไม่เพียงเป็นทีมฟุตบอล แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของชุมชน ศรัทธา และการต่อสู้ที่ยาวนานมากกว่า 130 ปี จุดกำเนิดและรากฐาน สโมสรเซลติกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1887 โดยบาทหลวง บราเธอร์ วัลเฟรด ซึ่งมีเป้าหมายหลักในการก่อตั้งสโมสรเพื่อช่วยเหลือชาวไอริชที่อพยพมาอยู่ในกลาสโกว์และกำลังประสบปัญหาความยากจน ชื่อ “Celtic” จึงเป็นการสะท้อนถึงรากเหง้าและความผูกพันระหว่างสกอตแลนด์กับไอร์แลนด์ สโมสรนี้จึงไม่ได้เป็นเพียงทีมฟุตบอล แต่ยังเป็นตัวแทนของความเป็นหนึ่งเดียวกันในชุมชน สนามเซลติกพาร์ก: ป้อมปราการสีเขียว สนามเหย้าของเซลติกคือ Celtic Park หรือที่แฟนบอลเรียกกันว่า “Parkhead” สนามแห่งนี้จุแฟนบอลได้กว่า 60,000 คน และขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในสนามที่มีบรรยากาศการเชียร์ที่ดีที่สุดในโลก เมื่อเสียงเพลง “You’ll Never Walk Alone” ดังก้องก่อนเริ่มเกม